MIL-STD 810 คือมาตรฐานอะไร

รู้หรือไม่ MIL-STD 810 คือมาตรฐานอะไร?

MIL-STD 810 หรือ Military Standard 810 เป็นมาตรฐานที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกากำหนดขึ้น เพื่อทดสอบความทนทานของอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง โดยเฉพาะอุปกรณ์ทางทหารและอุปกรณ์พาณิชย์ที่ต้องการความทนทานสูง

มาตรฐานนี้เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1962 และมีการอัพเดทเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยเวอร์ชันล่าสุดคือ MIL-STD 810H ซึ่งประกาศใช้ในปี 2019 การทดสอบตามมาตรฐานนี้ครอบคลุมหลายด้าน เช่น การทดสอบความทนทานต่อการตกกระแทก การสั่นสะเทือน อุณหภูมิสูง-ต่ำ ความชื้น ความดันบรรยากาศ ทราย ฝุ่น การกัดกร่อน รังสี และการทดสอบอื่นๆ ที่จำลองสภาพแวดล้อมที่รุนแรง

ในการทดสอบแต่ละประเภท จะมีการกำหนดวิธีการทดสอบ (Test Method) อย่างละเอียด รวมถึงเงื่อนไขและมาตรฐานที่อุปกรณ์ต้องผ่าน เช่น การทดสอบการตกกระแทก อาจกำหนดให้ปล่อยอุปกรณ์จากความสูงที่กำหนดลงบนพื้นผิวต่างๆ หลายครั้ง และอุปกรณ์ต้องยังคงทำงานได้ตามปกติหลังการทดสอบ

การทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD 810 แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ การทดสอบแบบปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมการใช้งานจริง (Tailoring) และการทดสอบแบบทั่วไป (Common Testing) โดยการทดสอบแบบปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมจะพิจารณาจากลักษณะการใช้งานจริงของอุปกรณ์นั้นๆ และปรับเงื่อนไขการทดสอบให้สอดคล้องกัน

ในปัจจุบัน ผู้ผลิตสินค้าพาณิชย์หลายรายนำมาตรฐาน MIL-STD 810 มาใช้ในการทดสอบผลิตภัณฑ์ของตน โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการความทนทานสูง เช่น โน้ตบุ๊กสำหรับงานภาคสนาม สมาร์ทโฟนแบบทนทาน หรืออุปกรณ์สื่อสารแบบพกพา อย่างไรก็ตาม การอ้างอิงมาตรฐาน MIL-STD 810 ในผลิตภัณฑ์พาณิชย์อาจไม่ได้หมายความว่าผ่านการทดสอบทุกด้านตามมาตรฐานทหาร และอาจมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการทดสอบให้เหมาะสมกับการใช้งานในเชิงพาณิชย์

การทดสอบตามมาตรฐานนี้มักดำเนินการโดยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง ซึ่งมีเครื่องมือและอุปกรณ์เฉพาะสำหรับการจำลองสภาพแวดล้อมต่างๆ การทดสอบต้องทำอย่างเป็นระบบและมีการบันทึกผลอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์จะสามารถทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือในสภาพแวดล้อมที่กำหนด

มาตรฐาน MIL-STD 810 นี้มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาอุปกรณ์ทางทหารและอุปกรณ์พาณิชย์ที่ต้องการความทนทานสูง เนื่องจากช่วยให้มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายหรือการทำงานผิดพลาดในสถานการณ์จริง